ไวรัสตับอักเสบ(Viral Hepatitis)?

ภาวะตับอักเสบคือการที่เซลล์ตับมีการอักเสบและเสียการทำงานโดยมีสาเหตุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดื่มแอลกอฮอล์ การได้รับสารพิษ การแพ้ยา แต่สาเหตุหลักคือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนั่นเองโดยไวรัสตับอักเสบที่พบได้บ่อยคือ คือตับอักเสบเอ บีและซี โดยการติดเชื้อสามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็งและการเกิดมะเร็งตับได้ โดยไวรัสตับอักเสบบีและซีเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งตับในคนไทย

ความแตกต่างของไวรัสตับอักเสบ A B และ C?

แม้ว่าไวรัสทั้งสามตัวสามารถทำให้เกิดอาการแสดงเหมือนๆกัน แต่ไวรัสทั้งสามตัวทำให้เกิดอาการอักเสบต่อตับต่างกันและมีช่องทางของการติดเชื้อต่างกัน โดยไวรัสตับอักเสบ A มักจะทำให้เกิดการติดเชื้อในระยะสั้นๆและหายได้เอง ส่วนไวรัสตับอักเสบ B และ C นั้นอาจเริ่มจากการติดเชื้อในระยะสั้นๆและในบางคนเชื้อจะยังคงอยู่ในร่างกายส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังได้ โดยปัจจุบันไวรัสตับอักเสบ A และ B มีวัคซีนป้องกันแต่ไวรัสตับอักเสบ C ยังไม่มีวัคซีน

ไวรัสตับอักเสบเอ (HepatitisA)?

การติดต่อ

เชื้อไวรัสตับอักเสบเอนั้นติดต่อกันจากการปนเปื้อนผ่านอุจาระและอาหาร ดังนั้นช่องทางที่สามารถทำให้ติดเชื้อได้จะมี

  • การรับประทานอาหารและน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน
  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก)

อาการเมื่อมีการติดเชื้อ

ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจะมีอาการ และหากมีอาการ อาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมักเป็นอาการเฉียบพลัน และอาการมักจะเป็นไม่เกิน 2 เดือนโดยอาการที่พบได้มีดังนี้

  • ไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ท้องเสีย
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • อุจจาระสีซีด
  • ตัวเหลืองตาเหลือง
  • ปวดข้อ

*ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีมักจะไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัดเจน

การตรวจวินิจฉัย

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบเอจะทำโดยการซักประวัติตรวจร่างกายโดยแพทย์ร่วมกับการตรวจเลือด

การดูแลรักษา

การรักษาไวรัสตับอักเสบเอจะเป็นการรักษาตามอาการ เป็นการให้สารน้ำ พักผ่อน โดยมากอาการจะไม่ได้รุนแรงมากและสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล

การป้องกัน

การป้องการที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนโดยจะฉีดทั้งหมด 2 เข็มที่ 0 และ 6 เดือน ก็จะทำให้มีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต

ไวรัสตับอักเสบบี (HepatitisB)?

การติดต่อ

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อกันได้ผ่านเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดยช่องทางการติดที่เกิดขึ้นได้มีดังนี้

  • การติดจากแม่สู่ลูกตอนคลอด
  • เพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • การใช้แปรงสีฟันและใบมีดโกนร่วมกัน
  • การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
  • การถูกเข็มตำหรือของมีคมที่ปนเปื้อนเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ

อาการเมื่อมีการติดเชื้อ

อาการของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะแบ่งเป็น ระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง

ระยะเฉียบพลัน(Acute hepatitisB)

คืออาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในช่วง 6 เดือนหลังมีการรับเชื้อ  

  • ไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ท้องเสีย
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • อุจจาระสีซีด
  • ตัวเหลืองตาเหลือง
  • ปวดข้อ
  • โดยความรุนแรงของอาการในแต่ละคนจะแตกต่างกันไป บางคนอาจไม่มีอาการเลย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลระยะเรื้อรัง(Chronic hepatitisB)ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแล้วจะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง โดยปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่สุดคืออายุ การติดเชื้อในทารกจะมีโอกาสถึง 90% ที่จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง การติดเชื้อในวัยเด็กมีโอกาสประมาณ 25-50% ในทางกลับกัน 95% ของผู้ใหญ่ที่ได้รับเชื้อสามารถหายขาดจากโรคได้โดยไม่กลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง โดยภาวะตับอักเสบเรื้อรังนี้สามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็ง มะเร็งตับ และการเสียชีวิตได้

    การตรวจวินิจฉัย

    การวินิจฉัยสามารถทำได้จากการตรวจเลือด โดยการตรวจ HBsAg สามารถตรวจได้หลังจากมีการติดเชื้อประมาณ 4 สัปดาห์

    การดูแลรักษา

    การดูแลรักษาในระยะเฉียบพลันที่มีอาการจะเป็นการรักษาตามอาการ และจะมีการตรวจติดตามผลเลือดว่ามีการเปลี่ยนไปเป็นการติดเชื้อแบบเรื้อรังหรือไม่ หากพบว่ามีการติดเชื้อเรื้อรังแพทย์ระบบทางเดินอาหารจะมีการให้ยาต้านไวรัสและมีการตรวจติดตามการทำงานของตับรวมถึงการทำ ultrasound ตับอย่างสม่ำเสมอเพื่อเฝ้าระวังภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ

    การป้องกัน

    การป้องการที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนโดยจะฉีดทั้งหมด 3 เข็มที่ 0,1 และ 6 เดือน ก็จะทำให้มีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต

ไวรัสตับอักเสบซี (HepatitisC)?

การติดต่อ

ช่องทางการติดต่อของไวรัสตับอักเสบซีคือผ่านทางเลือดโดยช่องทางหลักคือ

  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • การติดจากแม่สู่ลูกตอนคลอด

ส่วนช่องทางเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้แม้โอกาสติดค่อนข้างต่ำ

  • เพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
  • การใช้แปรงสีฟัน มีดโกนร่วมกัน
  • การสัก
  • การรับบริจาคโลหิต
  • การถูกมีดบาดและเข็มปนเปื้อนตำในสถานพยาบาล

อาการเมื่อมีการติดเชื้อ

สำหรับไวรัสตับอักเสบซีผู้ติดเชื้อมักไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยอาการที่เกิดขึ้นได้จะเหมือนกับของไวรัสตับอักเสบเอและบีคือ

  • ไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ท้องเสีย
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • อุจจาระสีซีด
  • ตัวเหลืองตาเหลือง
  • ปวดข้อ

อย่างไรก็ตามถึงแม้ไวรัสตับอักเสบซีมักจะไม่ได้ก่อให้เกิดอาการรุนแรงเฉียบพลันแต่มากกว่า 50% ของผู้ติดเชื้อจะทำให้ให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังหากไม่ได้รับการรักษา และนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับได้

การตรวจวินิจฉัย

การวินิจฉัยสามารถทำได้จากการตรวจเลือด โดยการตรวจ anti-HCV จะแม่นยำที่สุดหลังจากการสัมผัสเชื้อมาแล้ว 8-11 สัปดาห์

การดูแลรักษา

การรักษาไวรัสตับอักเสบซีควรได้รับการตรวจติดตามและดูแลโดยแพทย์ระบบทางเดินอาหาร โดยปกติจะมีการใช้ยารับประทานในการรักษา 8-12 สัปดาห์ ร่วมกับมีการนัดตรวจติดตามเพื่อเฝ้าระวังภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ 

การป้องกัน

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ใช้ป้องกันไวรัสตับอักเสบซี ดังนั้นการป้องกันที่ทำได้คือการเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ

Book an Appointment