การทดสอบในห้องปฏิบัติการสำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
Table of Contents

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
เมื่อพูดถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เรามักจะได้ยินคนพูดถึงแต่ โรค HIV (human immunodeficiency virus) หรืออีกชื่อนึงที่ได้ยินกันติดหูคือ “เอดส์” (AIDs acquired immune deficiency syndrome) ทั้งๆที่ยังมีโรคอื่นๆอีกมากมายที่มีความสำคัญแต่มักถูกมองข้ามหรือไม่รู้จักเลย โดยโรคต่างๆเหล่านั้นมีดังนี้
ตรวจซิฟิลิส
-Syphilis หรือ Treponema pallidum เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากการมีเพศสัมธ์ทั้งแบบสอดใส่และการใช้ปาก ซึ่งโรคนี้นั้นมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคในกลุ่มของ “หนองใน” โดยอาการเบื้องต้นแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้
ระยะที่ 1 (primary syphilis) เป็นระยะที่มีแผลเกิดขึ้นหลังติดเชื้อได้ประมาณ 10-90 วัน แผลที่เกิดขึ้นเป็นตุ่มเล็กๆขนาดประมาณ 2-4 มิลลิเมตร โดยขนาดของแผลสามารถขยายออกได้เรื่อยๆ จนแตกออกเป็นขอบนูนแข๊กลักษณะคล้ายเม็ดกระดุมซึ่งเรียกว่า “แผลริมแข็ง” (chancre)
ระยะที่ 2 (secondary syphilis) หรือระยะออกดอกจะพบหลักจากระยะแรก 4-8สัปดาห์เชื้อจะแพร่สุ่ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายรวมทั้งอวัยวะต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดผื่นขึ้นทั้งตัวรวมถึงฝ่ามือและเท้า มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงและผื่นเหล่านี้จะไม่คัน
ระยะที่ 3 (tertiary syphilis) หรือระยะทำลายซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรค เกิดจากการไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกต้อง โดยเชื้อจะเข้าสู้ สมองและไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาต ชัก เดินเซ ความจำเสื่อม ตามัวหรือบอด หูหนวก อาจเสียสติและถึงขั้นเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตามในระยะที่ 1 และ 2 นั้นในผู้ติดเชื้อสามารถไม่พบอาการข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมดได้แต่ยังมีเชื้อในร่างกายอยู่ซึ่งระยะนี้เรียกว่า ระยะแฝง (latent syphilis) โดยผู้ที่อยู่ในระยะนี้จะมีความอันตรายมากกว่าเนื่องจากผู้ติดเชื้อจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติหรือการมีอยู่ของเชื้อในร่างกายซึ่งสามารถทำให้เข้าสู่ระยะ 3 ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
การตรวจหาเชื้อทางเลือดจึงเป็นการคัดกรองที่ดีที่สุดโดยผู้ที่ควรตรวจไม่ใช่ผู้ที่มีอาการแต่ควรเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงมาแล้วอย่างน้อย 30 วันถึงแม้จะไม่มีอาการ ควรได้รับการตรวจทุกคนด้วยการตรวจตามมาตรฐานสากลดังต่อไปนี้

การตรวจซิฟิลิสแบ่งเป็น 2 แบบได้แก่
- Non-treponemal test หรือการตรวจหาภูมิต่อสิ่งที่แบคทีเรียสร้างขึ้นมาโดยไม่มีความจำเพาะต่อตัวเชื้อได้แก่ VDRL (venereal disease research laboratory), RPR (Rapid plasma reagin)
Treponemal test - Treponema pallidum การตรวจหาภูมิที่จำเพาะต่อแบคทีเรีย ได้แก่ CMIA (Chemiluminescence microparticle Immunoassay), TPHA Treponema (pallidum hemagglutination assay), TPPA (Treponemal pallidum particle agglutination Test), FTA- ABS (Fluorescent treponemal antibody absorption)
โดยการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อซิฟิลิส ต้องทำการทดสอบทั้งสองประเภท (non-treponemal และ treponemal) เพื่อประกอบการวินิจฉัย นอกจากนั้นในกรณีของผู้ที่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน การตรวจ treponemal test ไม่มีความจำเป็นที่ต้องตรวจซ้ำเพราะเนื่องจากการติดเชื้อครั้งแรกร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไปตลอดชีวิตทำให้ผลการตรวจภูมิต่อเชื้อนั้นเป็นบวกตลอดแม้ว่ารักษาหายแล้วก็ตาม การตรวจติดตามการรักษาหรือการตรวจเพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อซ้ำ จะตรวจแค่ non-treponemal test เท่านั้น
การตรวจเลือดในผู้ติดเชื้อ HIV ทั้งผู้ที่เริ่มการรักษาและติดตามการรักษาควรได้รับการตรวจเลือดดังต่อไปนี้เพิ่มเติมเพื่อประกอบการรักษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด