วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A virus; HAV) มักจะพบในอุจจาระของคนที่เป็นโรคตับอักเสบเอ และมักจะติดต่อโดยการใกล้ชิดกับคนที่เป็น ผ่านการสัมผัสเชื้อโดยการรับประทานเข้าไป ทั้งอาหารที่ไม่ปรุงให้สุกหรือไม่ผ่านการล้าง จึงยังมีเชื้อปนเปื้อนอยู่ โดยเชื้อนี้สามารถแพร่ต่อผ่านการจูบ ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน และการทานอาหารโดยไม่ใช้ช้อนกลาง  เชื้อ HAV นี้จะเข้าฝังตัวในลำไส้ แล้วกระจายไปสู่ตับจนเกิดการอักเสบของตับหลังจากได้รับเชื้อราว ๆ 1-2 สัปดาห์ ส่งผลให้เกิดภาวะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และดีซ่าน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย บ้างก็อาจกลายเป็นมะเร็งตับ และเสียชีวิตได้

การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรค โดยภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอนี้จะอยู่ติดตัวไปได้ตลอด 

ทุก ๆ คนควรได้รับการฉีดวัคซีน โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ ผู้ที่ใช้ยาเสพติด ผู้ที่ต้องประกอบอาหาร ชายรักชาย หรือผู้ที่จะต้องเดินทางไปยังที่ที่มีการระบาดของโรค

วิธีการฉีดวัคซีน

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ A เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายในรูปแบบยาน้ำแขวนตะกอนไวรัส (virus suspension) ราคาอยู่ที่เข็มละ 2,200 บาท

ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน เมื่อฉีดครบแล้วร่ายกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา โดยส่วนมากแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต

วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B (Hepatitis B)

ไวรัสตับอักเสบชนิด B (Hepatitis B) เป็นสภาวะที่ตับมีการอักเสบเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัส ทำเกิดผู้ติดเชื้อมีสาเหตุโรคตับเรื้อรัง รวมถึงสาเหตุของโรคมะเร็งตับ โดยโรคนี้สามารถติดได้ผ่านการคลอด การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผุ้ติดเชื้อ 

หลังจากได้รับเชื้อผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ยังคงไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา สามารถทำให้เกิดสภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน ตับแข๊งและมะเร็งตับได้ ในผู้ติดเชื้อบางรายสามารถหายจากโรคและสร้างภูมิขึ้นมาเองได้ การฉีดวัคซีนป้องกันจึงเป็นแนวทางป้องกันที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B

วัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิด B สามารถฉีดได้ตั้งแต่แรกเกิดหรือฉีดในผู้ที่ยังไม่มีภูมิ โดยก่อนการฉีดคนไข้ควรได้รับการตรวจ หาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B ก่อนเนื่องจาก ถ้าคนไข้ที่มีการติดเชื้ออยู่แล้วได้รับวัคซีน วัคซีนจะไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหรือป้องกันเชื้อไวรัสให้ตัวคนไข้ได้ ผู้ติดเชื้อควรรักษาโรคให้หายขาดก่อนที่จะพิจารณาฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิด B ควรฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือนและเข็มที่สามห่างจากเข็มที่สอง 5 เดือน โดยราคาของวัคซีนแต่ละเข็มอยู่ที่ 900 บาท เท่านั้น

หลังจากฉีดวัคซีนครับ 3 เข็มแล้ว การฉีดกระตุ้นภูมิต้านทานซ้ำนั้นไม่มีความจำเป็น เนื่องจากภูมิต้านทานในเลือดนั้นสามารถลดลงได้ตามระยะเวลา จนสามารถตรวจไม่พบในเลือดได้ แต่เมื่อร่างกายได้รับเชื้อจะมีการกระตุ้นเซลล์ร่างกายให้สร้างภูมิขึ้นมาใหม่ การฉีดวัคซีนซ้ำจึงไม่มีความจำเป็น ยกเว้นผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

วัคซีน HPV

เพราะมะเร็งปากมดลูกและหูดหงอนไก่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน HPV

รู้หรือไม่ว่า ถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันเชื้อ HPV ได้ทั้งหมด 100%

หลายคนเข้าใจว่า HPV เป็นแค่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใส่ถุงยางก็น่าจะเพียงพอ แต่ส่วนอื่นของร่างกายที่ถุงยางไม่ได้ปกปิด ก็สามารถสัมผัสเชื้อและกลายเป็นมะเร็งได้เช่นกัน ในปัจจุบัน มีวัคซีน HPV ทั้งแบบ 4 ชนิด (HPV4) และล่าสุดมีถึง 9 ชนิด (HPV9) โดยทั้งสองแบบสามารถฉีดป้องกันทั้งหูดหงอนไก่และมะเร็งที่ได้กล่าวมาข้างต้นได้ทั้งสิ้น

วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HPV (Human Papilloma Virus) ที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยสามารถแบ่งตามประเภทของเชื้อได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

  • สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำที่ก่อให้เกิดโรคหูด เช่น สายพันธุ์ 6, 11
  • สายพันธุ์ความเสี่ยงสูงที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สายพันธุ์ 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 
วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ (Gardasil 4) ชนิด 9 สายพันธุ์ (Gardasil 9)
ครอบคลุมสายพันธุ์ 6, 11, 16, 18 6, 11 ,16, 18, 31, 33, 45, 52, 58
สามารถป้องกัน มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งช่องคลอด

มะเร็งปากช่องคลอด

มะเร็งทวารหนัก

หูดหงอนไก่

7 สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งทวารหนัก ครอบคลุมยิ่งกว่าเดิม

2 สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดอวัยวะเพศ

ราคา เข็มละ 3,000 บาท
(3 โดส 8,000 บาท)
เข็มละ 8,300 บาท

(3 โดส 21,000 บาท)

สำหรับวัคซีน HPV4 นั้น สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 66% แต่วัคซีน HPV9 มีการป้องกันไวรัส HPV เพิ่มขึ้นมาอีก 5 สายพันธุ์ ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้เพิ่มถึง 15% จึงครอบคลุมขึ้นกว่าที่เคยมีมาในอดีต

ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม

  • เข็มที่ 1: วันที่ต้องการฉีด
  • เข็มที่ 2: หลังจากเข็มแรก 2 เดือน
  • เข็มที่ 3: หลังจากเข็มแรก 6 เดือน

ผู้รับวัคซีนสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 – 45 ปี โดยวัคซีนนี้มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดโรค ได้มาจากการสังเคราะห์เลียนแบบเชื้อ 

หมายเหตุ: สำหรับการฉีดครั้งแรก จะมีค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มเติม

วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine)

อาการปอดอักเสบจนเสียชีวิต ป้องกันได้ด้วย วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine)

โรคปอดอักเสบ เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ ติดต่อกันด้วยการไอ หรือ จาม ทำให้เชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศโดยมีลักษณะละอองฝอยขนาดเล็ก จึงเข้าสู่ปอดโดยตรงได้ และบางครั้งยังพบว่าการติดเชื้อสามารถเกิดจากการสำลักน้ำลาย น้ำดื่ม หรืออาหารก็ได้ในกลุ่มผู้สูงอายุ การติดเชื้อนี้มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae (สเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี) หรือเรียกกันว่าเชื้อ “นิวโมคอคคัส” ซึ่งมีมากกว่า 90 สายพันธุ์ ซึ่งเชื้อเหล่านี้มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ เชื้อกลุ่มนี้ยังสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง และการติดเชื้อในกระแสเลือดได้อีกด้วย 

สำหรับโรคนี้ ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจอยู่ก่อน มีภูมิต้านทานต่ำ มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง สูบบุหรี่เป็นประจำ หรือผู้สูงอายุที่มีอายุจั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป สามารถติดเชื้อนี้ได้ง่าย

พิเศษสุด! ราคาเพียง 4,400 บาท โดยประกอบไปด้วย

  1. วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต ป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสได้ 13 ชนิด (Prevnar13) จำนวน 1 เข็ม
  2. วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดโพลีแซคคาไรด์ ป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัสได้ 23 ชนิด (Pneumovax23) จำนวน 1 เข็ม 

วิธีการฉีดวัคซีน

สามารถเลือกฉีดวัคซีนตัวไหนก่อนก็ได้ ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  • ถ้าฉีด Prevnar13 ก่อน Pneumovax23 ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 8 สัปดาห์
  • ถ้าฉีด Pneumovax23 ก่อน Prevnar13 ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 ปี

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Influenza vaccine)

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันได้จริงหรือ?

       วัคซีนไข้หวัดใหญ่ใช้สำหรับป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่มีแนวโน้มทำให้การระบาดในช่วงฤดูฝนโดยการวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะไปกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีต่อเชื้อไวรัส วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อตายซึ่งไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้จึงมีความปลอดภัยสูงมีประสิทธิภาพป้องกนโรคไข้หวัดใหญ่ได้ 70-90 % ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วอาจยังมีโอกาสเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ แต่ความรุ่นแรงจะน้อยลง 

ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วงไหนและบ่อยแค่ไหน?

       ในประเทศไทยการระบาดหลักของโรคมักเกิดในช่วงฤดูฝน จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อนเข้าฤดูฝน ประมาณช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน อย่างไรก็ตามวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ตลอดทั้งปีและควรกระตุ้นการฉีดปีละ 1 ครั้ง

ใครควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่?

       บุคคลที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน ขึ้นไปสามารถได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ และกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ได้แก่  

            -หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มากกว่า 4 เดือน   

            -ผู้สูงอายุ 65 ปี ขึ้นไป

            -ผู้ป่วยกลุ่มโรคธาลัสซีเมีย

            -ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด)

ใครบ้างที่ห้ามฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่?

         บุคคลที่ห้ามฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ 

                 -เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน 

                 -ผู้มีประวัติแพ้ไข่รุนแรง

                -ผู้ที่มีไข้สูง หรือโรคติอเชื้อรุนแรง (ผู้ที่มีไข้ต่ำ ๆสามารถฉีดได้)

วิธีปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประมาณ 6-24 ชั่วโมง อาจจะมีไข้ได้ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดไข้
สร้างเกาะป้องกันด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพียง 900 บาท! ต่อปี

Book an Appointment