10 สัญญาณที่บอกว่าคุณควรตรวจสุขภาพประจำปี

1. รู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลียบ่อย – การรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลียบ่อยๆ อ่อนแรง ไม่สดชื่นทั้งในตอนที่ตื่นนอนและระหว่างวันสะสมยาวนานมากกว่า 6 เดือน ควรเข้ารับการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุ
2.มีน้ำหนักตัวเพิ่มหรือลดอย่างรวดเร็ว – การเปลี่ยนน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่สามารถหาสาเหตุได้ น้ำหนักลดลงมากกว่า 5% จากน้ำหนักเดิมภายในเวลา 6 เดือน โดยไม่ได้ตั้งใจลดน้ำหนัก อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพเช่น ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ มะเร็ง
3.มีอาการปวดเรื้อรัง – อาการปวดที่ไม่หายไปหรือเกิดขึ้นที่เดิมซ้ำๆ เริ่มจากความปวดเล็กน้อยค่อยๆเพิ่มขึ้น ปวดต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือนเป็นต้นไป

Safe 10 ตรวจสุขภาพ 1-3_0

4.มีปัญหาการหายใจหรือหายใจลำบาก – การหายใจที่ลำบาก หายใจไม่อิ่ม เหมือนลมผ่านเข้าไปได้ไม่ดี หายใจเข้าลึกไม่ได้ จนหายใจเป็นช่วงสั้นๆ ถี่ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย อย่างอาการจุกอก แน่นหน้าอก รู้สึกอึดอัด เหนื่อย หากเป็นหนัก อาจรู้สึกหายใจไม่ออก รู้สึกว่าจะขาดใจอาจเป็นสัญญาณของปัญหาหัวใจหรือปอด
5.มีอาการท้องเสียหรือท้องผูกเป็นประจำ – จากที่เคยขับถ่ายปกติเป็นประจำในตอนเช้า เกิดการไม่อุจจาระเลย มีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว หรืออุจจาระแข็งสลับกันและต้องใช้แรงในการแบ่ง อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของลำไส้และการดูดซึมอาหาร
6.มีการเปลี่ยนแปลงในผิวหนัง -ตุ่มคัน รอยแดง การเปลี่ยนสี หรือรอยโรคที่ไม่หายไป ลอกเป็นขุย นูนแดงเป็นปิ้นๆ เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ควรได้รับการตรวจเพื่อป้องกันโรคร้ายแรงเช่น มะเร็งผิวหนัง โรคภูมิแพ้ตัวเอง
7.รู้สึกเครียดหรือซึมเศร้าเป็นระยะเวลานาน – อารมณ์ที่ไม่คงที่หรือรู้สึกเครียดเรื้อรัง มีช่วงระยะเวลาที่เศร้า หดหูู่ เบื่อหน่าย หมดความสนใจต่อโลกภายนอก ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่ หากสามารถจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้เป็นระยะเวลานานและเพิ่มระยะเวลามากขึ้นเรื่อยๆควรเข้ารับตรวจสุขภาพจิต

Safe 10 ตรวจสุขภาพ 4-7_0

8.มีอาการเจ็บหน้าอกหรือใจสั่น – อาการเจ็บแน่นหน้าอกใจสั่น เจ็บคล้ายมีเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก เกิดขึ้นขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมง หรือเป็นวัน อาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า ขยับตัว หรือหายใจเข้าลึกๆ รวมไปถึงเจ็บร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้าอาจบ่งบอกถึงปัญหาหัวใจที่ควรได้รับการตรวจอย่างเร็วที่สุด
9.มีการเปลี่ยนแปลงในการมองเห็นหรือได้ยิน – เห็นภาพเบลอ ตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ เห็นจุดสีดำหรือภาพขุ่น ขาวดำ การสูญเสียการมองเห็นหรือการได้ยินลดลง มีความลำบากในการได้รับฟังเสียง ในหูมีเสียง มีน้ำในหู เอี้ยวตัวแล้วเวียนหัว อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่จะต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษา
10.มีประวัติครอบครัวที่มีปัญหาสุขภาพ – สมาชิกในครัวมีประวัติโรคทางพันธุกรรม เช่น เบาหวาน โรคเลือด มะเร็ง ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจหาและป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้น

Safe 10 ตรวจสุขภาพ 8-10_0

การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการดูแลสุขภาพง่ายๆที่ใช้เวลาไม่นาน สามารถช่วยตรวจหาโรคที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเราได้ และป้องกันปัญหาสุขภาพก่อนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างทันท่วงที

ตรวจสุขภาพปีนี้ ไม่ต้องรอ…เริ่มตอนนี้เพื่ออนาคตสุขภาพที่ดี”

การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการดูแลสุขภาพร่างกายที่สำคัญเพื่อป้องกันโรคและดูแลสุขภาพของเราแบบองค์รวม โดยการตรวจสุขภาพช่วยให้เราทราบถึงสถานะของร่างกายตนเอง ช่วยค้นหาความผิดปกติและโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต การรับรู้ปัญหาสุขภาพตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้  ลดความสูญเสียทางสุขภาพและด้านการเงิน รู้เร็วรักษาเร็ว ลดโอกาสการเจ็บป่วยเรื้อรังและไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานที่อาจจะเกิดกับโรค ดังนั้นการเริ่มตรวจสุขภาพตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม เสียสละเวลาเพียงเล็กน้อยก็สามารถเข้ารับการตรวจสุขภาพได้เพื่ออนาคตสุขภาพที่ดีและสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง

ยาฉีดคุมกำเนิด คืออะไร มีกี่แบบ ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ !

ยาฉีดคุมกำเนิด

ปัจจุบันวิธีการคุมกำเนิดทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัย การทานยาคุม การฝังยาคุมหรือการทำหมัน การคุมกำเนิดโดยใช้ยาฉีดนับเป็นอีกทางเลือกในการคุมกำเนิดที่มีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูง

ยาคุมกำเนิดแบบฉีดมีกี่แบบ

ยาคุมกำเนิดแบบฉีดที่ใช้กันจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ

  1. กลุ่มที่เป็นฮอร์โมนเดี่ยวโพรเจสตินอย่างเดียว จะฉีดทุก 3 เดือน
  • ยากลุ่มนี้เหมาะกับผู้ที่มีบุตรแล้วหรือผู้ที่ไม่ได้วางแผนจะมีบุตรในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากหลังหยุดยาไปกว่าจะกลับมาตั้งครรภ์ได้นั้นใช้ระยะเวลานาน 6-12 เดือน
  • สามารถใช้ในหญิงให้นมบุตรได้
  • ยาคุมชนิดนี้ใช้แล้วช่วงแรกประจำเดือนจะมากะปริบกะปรอย และจะค่อยๆน้อยลงจนหายไปไม่มาอีกเลยตลอดระยะเวลาที่ใช้ยา
  1. กลุ่มที่เป็นชนิดฮอร์โมนรวมโพรเจสติน + เอสโตรเจน จะฉีดทุก 1 เดือน
  • ยาคุมชนิดนี้เมื่อใช้แล้วประจำเดือนจะยังมาปกติทุกเดือน
  • หลังหยุดยาสามารถมีบุตรได้ทันที
  • ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงให้นมบุตรเนื่องจากทำให้น้ำนมแห้ง

ข้อห้ามในการฉีดยาคุมกำเนิด

  • ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์(ต้องมีการตรวจการตั้งครรภ์ก่อนใช้)
  • ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือทางเดินปัสสาวะ
  • ห้ามใช้ในผู้มีประวัติมะเร็งเต้านมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับรุนแรง
  • ห้ามใช้ในผู้มีประวัติโรคหลอดเลือดดำอักเสบและลิ่มเลือดอุดตัน
  • ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

ควรฉีดยาคุมกำเนิดตอนไหนดี

  1. ฉีดวันไหนก็ได้ แต่ก่อนฉีดต้องผ่านการตรวจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ และให้งดมีเพศสัมพันธ์หรือคุมกำเนิดโดยการใช้ถุงยางอนามัยในช่วง 7 วันหลังฉีดยา
  2. ฉีดวันแรกของการมีประจำเดือนหรือวันไหนก็ได้ภายใน 5 วันเริ่มจากวันที่มีประจำเดือน หากฉีดในช่วงนี้ไม่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดในรูปแบบอื่นมาเสริม ***เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
  3. ฉีดทันทีหรือภายใน 5 วันหลังแท้งบุตร การฉีดในช่วงนี้ไม่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดในรูปแบบอื่นมาเสริม
  4. ทันทีหรือภายใน 21 วันหลังการคลอดในผู้ที่ไม่ได้ให้นมบุตร การฉีดในช่วงนี้ไม่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดในรูปแบบอื่นมาเสริม

การนัดฉีดยาคุม

  • ควรฉีดยาคุมกำเนิดตรงวันนัด
  • กรณีต้องการมาฉีดก่อนวันนัด หากเป็นยาคุมแบบ 3 เดือนสามารถฉีดก่อนกำหนดได้ 2 สัปดาห์ หากเป็นยาคุมกำเนิดแบบ 1 เดือนสามารถฉีดก่อนกำหนดได้ 1 สัปดาห์
  • กรณีมาฉีดล่าช้ากว่าวันนัด หากเป็นยาคุมกำเนิดแบบ 3 เดือนสามารถฉีดล่าช้าได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ หากเป็นยาคุมกำเนิดแบบ 1 เดือนสามารถฉีดล่าช้าได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์

ยาคุมกำเนิดแบบฉีดป้องกันการตั้งครรภ์ได้กี่เปอร์เซ็น

หากมีการใช้อย่างถูกต้องโอกาสที่จะตั้งครรภ์ขณะมีการฉีดยาคุมมีเพียง 0.2-0.3% ดังนั้นยาคุมกำเนิดแบบฉีดมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 99% ซึ่งจริงๆในทางปฏิบัติถือว่ามีประสิทธิภาพดีกว่ายาคุมแบบรับประทาน เนื่องจากยาคุมแบบรับประทานบางครั้งอาจมีลืมทานยา ทานยาไม่ตรงเวลา หรือการอาเจียนหลังทานยา ทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลงได้

เมื่อหยุดฉีดยาคุมแล้วจะกลับมาตั้งครรภ์ได้เมื่อไหร่

  • หากเป็นยาคุมกำเนิดแบบ 3 เดือนจะกลับมาตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6-12 เดือนนับจากวันที่ฉีดยาครั้งสุดท้าย
  • หากเป็นยาคุมกำเนิดแบบ 1 เดือนจะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ทันทีหลังยาคุมหมดฤทธิ์

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการฉีดยาคุมกำเนิด

  • ช่วงแรกที่ฉีดมักมีประจำเดือนมาผิดปกติเลือดออกกะปริบกะปรอยได้(สำหรับยาคุมแบบฉีดทุก 3 เดือน)
  • ปวดศีรษะ
  • คัดตึงเต้านม
  • อารมณ์แปรปรวน

สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงเมื่อใช้วิธีการคุมเนิดแบบฉีดคือ การฉีดยาคุมไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นหากมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า การใช้ถุงยางอนามัยและการใช้ยา PrEP จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาใช้เสมอ